ปี 2018 เป็นปีที่เลวร้ายที่สุดของเฟสบุค และ โฆษณาเฟสบุค ตั้งแต่ก่อตั้งมาก็ว่าได้ เอาเป็นว่าโดนโจมตีตลอดทั้งปี ประเด็นหลักคือเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) และข้อมูลหลุด (โดยไม่ได้ตั้งใจ) Analytica ที่ใช้เพื่อเหตุผลทางการเมือง รวมไปถึงตั้งใจให้บริษัทไอทียักษ์ใหญ่เข้าถึงข้อมูลแบบพิเศษ เช่น Netflix สามารถเข้าไปอ่านข้อความ Facebook Messenger ได้ รวมไปถึงข่าวลวง ข่าวหลอก นี่ยังไม่รวมปัญหาภายใน และภายนอกอย่างเช่น Tim Cook ที่ได้วิจารณ์เรื่องความเป็นส่วนตัวของ Facebook
ที่กล่าวมาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ โฆษณาเฟสบุค ทั้งหมดครับ เพราะเฟสบุคใช้ข้อมูลที่เรากรอก (Public data) รวมไปถึงพฤติกรรมต่างๆ เช่น การเช็คอิน กดไลค์เพจ ถ่ายรูป เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาให้เหล่า นักการตลาด พ่อค้า / แม่ค้า ออนไลน์ เอสเอ็มอี องค์กรต่างๆ เพื่อใช้ลงโฆษณานั้นเอง
เมื่อเฟสบุคโดนโจมตีเรื่องข้อมูลส่วนตัว ระบบ โฆษณา เฟสบุคก็ต้องปรับตัวไปโดยปริยาย ตัวอย่างเช่น การยิงโฆษณาแบบ Custom Audience ไม่สามารถดูจำนวนคนที่เข้าถึงได้ และต้องใช้บัญชีธุรกิจเท่านั้นในการ Custom Audience ด้วย Email, เบอร์โทร หรือการยิงโฆษณาเจาะไปที่ความสนใจ หลายความสนใจโดนปรับเอาออกไปเยอะพอสมควร เนื่องด้วยปัญหาที่กล่าวไปข้างต้น
อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้เฟสบุคติดอันดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลเฟสบุค SME ไทยใช้เฟคบุคเพื่อธุรกิจเป็นอันดับ 1 ของ APAC และอันดับ 5 ของโลก สินค้าจีนก็ทะลักเข้าไทย แม่ค้าออนไลน์เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทุกคนใช้เฟสบุคเป็นช่องทางหลัก การแข่งขันย่อมสูงเป็นธรรมดา
เฟสบุคโดนโจมตีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โฆษณาต้องปรับตัว คนไทยนิยมใช้เฟสบุคเพื่อเล่น และเพื่อธุรกิจเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ
ปี 2019 ผมมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร เทรนด์ โฆษณาเฟสบุค ปี 2019 ในความคิดเห็นของผมมีดังนี้
1.โฆษณาเฟสบุค ยังน่าสนใจ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
จาการเก็บข้อมูลของผม โฆษณาเฟสบุค เริ่มยิงยากขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ต้นปี 2018 คำว่ายากคือ “คอนเทนต์ขาย” จากเมื่อก่อนทำชิ้นเดียวยิง 3-4 เดือนขายยาวๆ ปัจจุบัน 1 เดือน (บางทีไม่ถึง) ก็ต้องทำใหม่กันแล้ว การแข่งขันสูง คู่แข่งมากขึ้น การตัดราคา ก็อปปี้สินค้า ก็อปคอนเทนต์ แย่งลูกค้าที่ใต้คอมเมนต์ เป็นเรื่องที่เราเจอได้ทุกวัน และจะมากขึ้นเรื่อยๆ คำว่ายิงโฆษณายากขึ้น เกิดจากทั้งปัจจัยจากเฟสบุคโดยตรง และคู่แข่งในตลาดมากขึ้นนั้นเอง
2.ค่าโฆษณาจะแพงขึ้น
ค่าโฆษณาที่แพงขึ้น ผมมองเป็น 2 มุม
มุมที่ 1 แพงขึ้นเพราะการแข่งขันที่สูงขึ้น เป็นเรื่องปกติที่สินค้าคล้ายกัน ยิงไปที่ความสนใจเหมือนกัน ทุกเจ้ายิงไปตำแหน่ง “ฟีด” กันหมด ทำให้ราคาดีดสูงขึ้นเป็นเรื่องปกติ เติมเพิ่ม การจ่ายเงินค่าโฆษณาเฟสบุคจะจ่ายในระบบประมูล โดยจะเก็บทุกๆ 1000 ครั้งที่โฆษณาขึ้น (Impression)
คำถาม คิดว่าปี 2019 การแข่งขันน้อยมากกว่าปีนี้ใช่รึเปล่า?
มุมที่ 2 ธุรกิจ Facebook อยู่ในตลาดหุ้น ราคาหุ้นจะสูงขึ้น ปัจจัยสำคัญคือ ผลประกอบการที่ดี ผลประกอบการที่ดีหมายถึงเก็บเงินจากธุรกิจได้มากขึ้น หรือกำไรมากขึ้น รายได้หลักของเฟสบุคเกิดจากธุรกิจ โฆษณา ในมุมมองของผม เฟสบุคเพียงแค่เพิ่มจำนวนผู้ใช้โฆษณาเฟสบุค เพราะเมื่อแข่งขันกันสูง ค่าโฆษณาก็ดีดขึ้นไปโดยปริยาย
คำถาม คิดว่าปี 2019 จำนวนผู้ใช้โฆษณาเฟสบุคมากขึ้นหรือไม่?
3.สินค้าที่ควบคุมต้นทุน และคุณภาพเท่านั้นที่อยู่รอด
เมื่อค่าโฆษณาแพงขึ้น ส่งผลกระทบให้กำไรน้อยลง ทางรอดคือ ควบคุมต้นทุน หรือสร้างมูลค่าให้สินค้าของเรา สินค้าที่ซื้อมาขายไป กำไรต่อชิ้นน้อยลง ปีหน้าจะอยู่ยากมากขึ้นถ้าสินค้าเราไม่โดดเด่นจริงๆ หรือสินค้าที่ผลิตเองแต่ไม่สร้างแบรนด์ เน้นขายราคาถูก กำไรต่อชิ้นต่ำ ก็อยู่ยากเช่นกัน
ข้อแนะนำ คำนวณค่าโฆษณาเป็นต้นทุน กำหนดราคาขายที่เหมาะสม ทำคอนเทนต์ให้น่าดึงดูด สด ใหม่ มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ในระยะยาว
4.โฆษณาเฟสบุค ไม่ใช่ทุกสิ่ง ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องโฟกัส
ในมุมมองผม การขายของบนเฟสบุคให้สำเร็จโฆษณาเฟสบุคไม่ใช่ทุกสิ่งครับ ผมมี 5 เคล็ดลับมาแนะนำ
4.1 ตัวสินค้า และราคา
ต่อให้เซ็ตโฆษณาเก่งขั้นเทพ ถ้าสินค้ามันไม่น่าสนใจ หรือราคาไม่เหมาะสม (แพงหรือถูกเกินไป) โอกาสที่จะสำเร็จมีน้อยมาก ผมแนะนำให้เราใช้เวลาให้การ สร้าง / หา สินค้าให้ดี ผมมั่นใจว่าถ้าสินค้ามาดี ราคาโดนใจ โอกาสขายได้มีสูงมาก
4.2 คอนเทนต์เพื่อขาย
คำว่าคอนเทนต์มันกว้างมาก แต่สำหรับผมคอนเทนต์เพื่อขาย คือคอนเทนต์ที่เราต้องทำอย่างยิ่งถ้าวัตถุประสงค์คือ “ยอดขาย” หลักการของผมง่ายๆ คอนเทนต์เพื่อขาย คือคอนเทนต์ที่เราทำขึ้นมาเพื่อลงโฆษณาโดยเฉพาะ คอนเทนต์นี้ต้องสร้างยอดขาย มากกว่าค่าโฆษณาที่เราลง เมื่อหักลบค่าโฆษณา กับต้นทุนแล้ว เรายังกำไร นั้นแหล่ะคือคอนเทนต์เพื่อขายในมุมมองของผม
สูตร : ค่าโฆษณา + คอนเทนต์เพื่อขาย < ยอดขายสุทธิ
4.3 โฆษณา
การตลาดออนไลน์ไม่ฟรี และไม่ถูกอีกต่อไป ถ้าเราต้องการสร้างยอดขาย สิ่งที่คุณต้องเรียนรู้อย่างยิ่งคือ โฆษณา ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา Facebook Google LINE@ ยิ่งเรียนรู้เยอะยิ่งดีครับ แล้วการที่เราจะจ้างคนอื่นโดยที่เราไม่มีความเข้าใจ โอกาสสำเร็จเป็นไปได้ยาก
ส่วนใครที่ไม่มีงบลงโฆษณา เราก็สามารถทำการตลาดแบบฟรีได้ เช่น แชร์ลงกลุ่ม ทำคอนเทนต์แชร์ลงเว็บคอมมิวนิตี้ พวกนี้เน้นลงแรงแต่ไม่ลงเงินครับ
4.4 ปิดการขาย
หลายคนตกม้าตายที่ขั้นตอนนี้ เช่นตอบช้า ใช้อารมณ์มากเกินไป ไม่ใส่ใจในรายละเอียด เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ส่งผลอย่างสูง คิดเสมอว่า เมื่อลูกค้าทักเข้ามาคุยกับเรา ความต้องการสินค้าเขาเริ่มจาก 100% เมื่อเวลาผ่านไปทุกนาที ความต้องการลูกค้าจะลดลงไปเรื่อยๆ
ข้อแนะนำ ตอบเร็ว ตอบให้ละเอียด ถาม 1 ตอบ 1 แล้วตอบ 2,3,4,5 ไปพร้อมกันเลย
4.5วัดผล
ไม่ว่าคุณจะลงหรือไม่ลงโฆษณา สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ การวัดผลครับ ถ้าไม่รู้วัดอะไรให้วัดที่ยอดขายไปเลย แล้ววิเคราะห์ว่าวันที่ขายดี ขายดีเพราะเราทำอะไรไปบ้าง วันไหนที่ขายไม่ดี เราทำอะไรไม่ดีไปบ้าง ผมมั่นใจว่าถ้าทำแบบนี้ได้ คุณจะเป็นคนเก่ง และรวยครับ
5. เฟสบุคอย่างเดียวไม่พอ ต้องกระจายความเสี่ยงไปช่องทางอื่นด้วย
ผมมักยกตัวอย่างว่า เฟสบุคเปรียบเหมือน พันทิพ พลาซ่า ในยุค 10 ปีก่อน ใครที่สนใจคอมพิวเตอร์ ต้องไปที่ห้างนี้ ใช่ครับตอนนี้มันขายดี แต่มันไม่ใช่บ้านของเรา วันดีคืนดีเกิดไฟไหม้ หรือพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยน ธุรกิจเราเจ๊งทันที การกระจายความเสี่ยงไปช่องทางอื่น มันก็เปรียบเหมือนเรามีร้านที่ เดอะมอลล์ เซ็นทรัล (Google, LINE) นั่นเอง
ข้อเสนอแนะ ควรศึกษาทั้ง Google, Line, Website แล้วสรุปกับตัวเองว่า เราควรขยับขยายไปช่องทางไหน
6.สินค้าจีนจะทะลักตลาดไทย ใครเร็วใครได้
ปัจจุบันเว็บ E-commerce ในไทยดังๆ มีอยู่ 3 เจ้า
1.Lazada ปัจจุบันอยู่กับ Alibaba
2.Shopee ของ SEA ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Tencent
3.JD.com เว็บ E-commerce อันดับ 2 ของจีน
สรุปง่ายๆ ตอนนี้ไทยโดนจีนยึดเรียบร้อยครับ ทุกวันนี้คุณสามารถสั่งของจากจีนผ่าน Lazada ได้แล้ว สั่งสินค้าจีนตรง ราคาถูกกว่าสำเพ็ง ซื้อเสื้อตรง ถูกกว่า Platinum คนไทยยุคนี้กดสั่งของจากเว็บจีน และขายผ่านเฟสบุค / Lazada / Shopee
เรื่องพวกนี้ไม่มีใครสอน แต่ใครเร็วคนนั้นก็อยู่รอด
7.Media Landscape ยังเป็น Facebook YouTube LINE Google เหมือนปี 2018
ถ้ามองในภาพรวม การใช้เงินโฆษณาดิจิทัลปี 2019 Facebook ยังมาเป็นที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ใครปรับตัวเร็ว (Optimize) คนนั้นจะอยู่รอด
ข้อเสนอแนะ อย่ากลัวที่จะลองผิดลองถูก คนที่เก่งคือคนที่ลงมือทำ ลองผิดลองถูก เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหม่ กว่าจะมีคนสอน ระบบโฆษณาก็เปลี่ยนใหม่แล้ว
8.ผมยังย้ำว่าเราเป็นเจ้าในการใช้เฟสบุคเพื่อสร้างยอดขายของโลกนี้
51% คือจำนวนคนไทยที่ช้อปปิ้งออนไลน์ผ่าน Facebook ซึ่งเป็นเบอร์ 1 ของโลก ทิ้งห่างค่าเฉลี่ยถึงเกือบ 4 เท่า
ความหมายที่ผมต้องการจะสื่อคือ คนไทยใช้เฟสบุคไม่เหมือนชาติอื่น ฉะนั้นอย่ารอดูคนอื่นว่าเขาทำอะไรแล้วเราจะทำตาม เพราะมันไม่มีครับ สมัยก่อนเรามักจะพูดว่า อเมริกามีอะไรใหม่เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีเราก็จะเป็นเหมือนเขา แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้วครับ
ข้อแนะนำ อ่านข่าวต่างประเทศเพื่อเป็นไอเดีย แต่สุดท้ายเราต้องประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับคนไทยอยู่ดี อย่ากลัวที่จะลองอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าเป็น แคมเปญ กิจกรรม หรือ คอนเทนต์
9.Facebook ปรับตลอดเวลาและจะเป็นแบบนี้ต่อไปในปี 2019
ปี 2019 เฟสบุคยังคงปรับตัว เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องแน่นอน เราไม่สามารถหาความแน่นอนในการใช้โฆษณาเฟสบุคเพื่อสร้างยอดขายตลอดปี 2019
เมื่อเราต้องอยู่กับความไม่แน่นอนแบบนี้ การเรียนรู้ วัดผล วิเคราะห์ และปรับตัว เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ทั้งหมดคือมุมมองส่วนตัวของผมนะครับ คิดเห็นอย่างไรคอมเมนต์พูดคุยกันได้เลยครับ ส่วนใครที่เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ ช่วยแชร์เป็นกำลังใจ จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ